หนังสือ เป็นเจ้าของกิจการที่รุ่งทะยานเกินใคร ตอบโจทย์คำถามเหล่านี้
อยากทำธุรกิจให้รุ่งทำอย่างไรดี
สวัสดีครับ ผมจี้ ในบทความนี้จะมาสรุป หนังสือ เป็นเจ้าของกิจการที่รุ่งทะยานเกินใคร
เป็นหนังสือที่สอนวิธีทำธุรกิจขนาดย่อมอย่างถูกต้องเป็นระบบ โดย ไมเคิล อี. เกอร์เบอร์ ผู้ก่อตั้ง ประธานและซีอีโอ ของ
E-Myth Worldwide ช่วยเหลือเข้าของธุรกิจขนาดย่อมและผู้ประกอบการในการสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
สรุป
→ ทำธุรกิจโดยมีมุมมองแบบ ผู้ชำนาญการอย่างเดียวไม่ได้
→ ทำธุรกิจต้องเข้าใจ ความเป็นผู้ประกอบการ ผู้จัดการ และผู้ชำนาญ และหน้าที่
→ ผู้ประกอบการ มองภาพกว้าง อยู่กับอนาคต ผู้จัดการ จัดระเบียบงาน อยู่กับอดีต และผู้ชำนาญการมองภาพงานตรงหน้า อยู่กับปัจจุบัน
→ ธุรกิจคือผลิตภัณหนึ่งของผู้ประกอบการ
→ ธุรกิจที่ดีต้องดำเนินการได้ด้วยตัวมันเอง ผ่านการวางระบบ
→ ความเสมอต้นเสมอปลาย เป็นสิ่งสำคัญของธุรกิจ (ลูกค้ามาต้องประทับใจแบบเดิมทุกครั้ง)
จะขอแบ่งเป็น 3 ส่วนนะครับ
1.ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องของผู้ประกอบการและธุรกิจขนาดย่อม
2.การปฏิวัติสำเร็จรูป มุมมองธุรกิจแบบใหม่
3.สร้างธุรกิจขนาดย่อมให้ประสบความสำเร็จ
1.ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องของผู้ประกอบการและธุรกิจขนาดย่อม
ความเชื่อผิดๆ ของผู้ประกอบการ
วันหนึ่ง ทำงานในฐานะผู้ชำนาญ(พนักงาน) อยากเป็นผู้ประกอบการ โดยคิดว่า
X เข้าใจงานเชิงเทคนิคของธุรกิจหนึ่งแล้ว เท่ากับ เข้าใจธุรกิจดังกล่าวทุกประการ
ต้นเหตุแห่งความล้มเหลวของธุรกิจขนาดย่อม
การทำงานด้านเทคนิคกับธุรกิจหนึ่ง กับ ธุรกิจที่ทำงานเทคนิค เป็นคนละเรื่อง
ผลที่ตามมาจากความเชื่อผิดๆนี้คือ ธุรกิจที่ไปทำ ไม่ใช่ธุรกิจ แต่เป็นที่ทำงาน
เช่น ช่างตัดผม เปิดร้านตัดผม (เป็นพนักงานในร้านตัวเอง = ที่ทำงาน)
ผู้ประกอบการ ผู้จัดการ และผู้ชำนาญการ
สงครามแบบสามฝ่ายระหว่าง ผู้ประกอบการ ผู้จัดการ และผู้ชำนาญการ
ปัญหาคือ ทุกคนที่เข้ามาทำธุนกิจ ต่างก็เหมือนเป็นคนที่มีสามร่างอยู่ในคนเดียว
ผู้ประกอบการ สร้างภาพฝัน เกี่ยวกับว่า ธุรกิจจะเป็นอย่างไร เมื่อไหร่ (อยู่กับอนาคต)
ผู้จัดการ เน้นปฏิบัติ วางแผน จัดระเบียบ (อยู่กับอดีต)
ผู้ชำนาญการ เป็น นักปฏิบัติ นิยมความเด็ดเดี่ยว (อยู้กับปัจจุบัน)
เราทุกคนต่างมี ความเป็น ผู้ประกอบการ ผู้จัดการ และ ผู้ชำนาญการในตัว
โดยเจ้าของธุรกิจขนาดย่อมทั่วไปจะมีสัดส่วน 10 / 20 / 70
ช่วงเริ่มต้นของธุรกิจ (ระยะ1)
เมื่อเริ่มเปิดธุรกิจแต่ยังมีความคิดแบบผู้ชำนาญการ ตัวคุณก็คือ ธุรกิจ
การทำความเข้าใจธุรกิจในแต่ละช่วง รวมทั้งสิ่งที่อยู่ในใจของเจ้าของกิจการในแต่ละช่วงนั้น เป็นเงื่อนไขสำคัญ
ทำไมธุรกิจขนาดย่อมส่วนใหญ่ไม่เติบโต
เจ้าของและตัวกิจกรรมก็คือคนๆเดียวกัน
ความคิดแค่ว่าทำงานเพื่อแลกกับเงิน
ทำทุกอย่างเองเหมือนนักแสดงปาหี่ สุดท้ายลูกบอลก็หลุดมือ
ช่วงการเติบโต (ระยะ2)
ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่งานล้น จนทำให้คุณ เริ่มขอความช่วยเหลือเชิงเทคนิค เช่น
เจ้ากิจการ ที่เน้นเรื่องการผลิตก็ต้องมองหา พนักงานขาย
พนักงานขายก็ต้องมองหา ฝ่ายผลิต
เมื่อพนักงานทำงานไม่ดี ผู้ชำนาญการในตัวคุณก็เริ่มเข้าไปจัดการเอง เพราะไม่รู้จักทำด้วยวิธีอื่น
ทางแก้คือ ปลุก บุคลิกภาพ ผู้ประกอบการ ผู้จัดการในตัวคุณ
ละทิ้งความเคยชิน
กิจการอยู่ในช่วงเติบโต ต้องก้าวพ้นความคุ้นเคยแบบเดิมของผู้เป็นเจ้าของ (ความคุ้นเคยที่ว่า การควบคุมสภาพแวดล้อมภายในแต่ถ้าเกินกว่านั้น เขาจะเริ่มสูญเสียอำนาจ)
ผู้จัดการในตัวคุณ จะพิจารณาจากจำนวนผู้ชำนาญการที่เขาสามารถดูแล
ผู้ประกอบการในตัวคุณ จะคิดถึงว่าดึงผู้จัดการเข้าร่วมปฏิบัติกับวัสัยทัศน์ได้อย่างไร
เมื่อธุรกิจเติบโตจนเลยจุดคุ้นเคยของคุณ จะมี3หนทาง
1.กลับไปเริ่มต้นใหม่อีกรั้ง
ผู้ชำนาญ มักตัดสินใจกลับไปเริ่มใหม่อีกครั้ง เพราะ ควบคุมความวุ่นวายไม่ได้
2.ยอมล้มละลาย
ความต้องการมีมากเกินไปกว่าความสามารถของธุรกิจช่วงการเติบโต
3.พยายามอยู่รอดในช่วงการเติบโต
คุณพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้า และคุณก็รู้ว่ามีทางเดียวเท่านั้นคือ คุณต้องไปที่นั่นตอดเวลา
ดังนั้น ก่อนจะเลยจุดคุ้นชิน เตรียมตัวและธุรกิจคุณให้พร้อมสำหรับการเติบโต โดยการหาความรู้ใส่ตัว
เพื่อสร้างรากฐานและโครงสร้างของธุรกิจให้แกร่งพอสำหรับภาระที่หนักขึ้นครับ
การเติบโตเต็มที่(ระยะ3)
เป็นระยะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
มุมมองของผู้ประกอบการคือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่าง
มาลองเปรียบเทียบระหว่างความคิดของผู้ประกอบการกับผู้ชำนาญการกันดูครับ
ผู้ประกอบการ | ผู้ชำนาญการ |
ธุรกิจนี้ทำงานอย่างไร | ต้องทำอะไรบ้าง |
เห็นโลกทั้งหมด(ภาพกว้าง) | เห็ฯโลกแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ(ภาพเล็ก) |
โมเดลผู้ประกอบการ
ผู้ประกอบการ มองเห็นโมเดลธุรกิจ ขณะที่ผู้ชำนาญการมองไม่เห็ฯ
เน้นทำอย่างไร มีโอกาสไหนบ้าง สร้างฏซลูชั่น
มองว่าธุรกิจคือ ผลิตภัณต์ตัวหนึ่ง
สิ่งที่ต้อง สร้างโมเดลธุรกิจที่ใช้งานได้
2.การปฏิวัติสำเร็จรูป มุมมองธุรกิจแบบใหม่
การปฏิวัติสำเร็จรูป
วิธีทำธุรกิจซึ่งมีพลังพอที่จะไปเปลี่ยนธุรกิจขนาดย่อม
จากที่เคยตกอยู่มรภาวะสับสนวุ่นวายอ่อนแอ ให้กลายเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตเป็นระบบอย่างต่อเนื่องและมีความตื่นเต้นอยู่เสมอ
หนึ่งในนั้นคือ การทำแฟรนไชส์รูปแบบธุรกิจ
ธุรกิจแฟรนไซส์รุ่นแรกๆ ได้รับการขนานนามว่าเป็น การทำแฟรนไชส์ “ชื่อการค้า” (ขอยืมชื่อมาใช้)
แต่การทำแฟรนไชส์รูปแบบธุรกิจก้าวไปไกลกว่าการทำ แฟรนไซน์ ชื่อการค้า
ให้ยืมชื่อและจัดระบบของธุรกิจทั้งแก่ แฟรนไชส์ซี(ผู้ขอใช้สิทธิ์)ด้วย
แฟรนไชส์ต้นแบบ
แหล่งรวมต้นแบบ องค์ประกอบที่จำเป็นทุกอย่างเพื่อช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
เช่น มันฝรั่งทอกของ แมคโดนอล จะต้องถูกพักไว้ในหม้ออถ่นเป็นเวลาไม่เกิน 7นาที เพื่อไม่ให้ฝรั่งชื้น
แฟรนไชส์ซี(ผู้ขอใช้สิทธิ์) จะได้รับสิทธิ์ให้ใช้ระบบ เรียนรู้วิธีบริหาระบบดังกล่าว
3.สร้างธุรกิจขนาดย่อมให้ประสบความสำเร็จ
กระบวนการพัฒนาธุรกิจคือ การสร้างต้นแบบธุรกิจซึ่งเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง
ประกอบด้วย
1.นวัฒนกรรม
นวัฒนกรรม คือ การทำสิ่งใหม่ๆ
ในความเป็นจริงแล้ว นวัฒกรรมในธุรกิจก็ต้องการแค่ การเปลี่ยนคำพูด ท่าทาง สีสัน เสื้อนิดหน่อย เท่านั้น
เช่น พนักงานขายในร้านค้าปลีกมักจะพูดกับหน้าใหม่ว่า มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ ก็ให้เปลี่ยนเป็น สวัสดีครับ ท่านเคยมาที่ร้านนี้หรือยังครับ
2.การจัดการเชิงปริมาณ
ทำให้นวัฒกรรมอยู่ในรูปของปริมาณที่แจงนับได้ เพื่อจะเข้าใจว่า นวัฒกรรมใช้ได้ผลไหม
เช่น นับจำนวนลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้านหลังจากที่คุณเปลี่ยนคำพูดแล้ว
ตัวเลขเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถแจงนับมูลค่าของนวัฒกรรมของคุณได้ อย่างชัดเจน
การประสานการทำงาน
ประสานเตรียมทุกอย่างให้สอกคล้อง
จัดลำดับการทำงาน
คือ การกำจัดเรื่องการใช้ดุลพินิจ ความชอบ หรือทางเลือกระดับปฏิบัติการของธุรกิจ เช่น
ถ้าคุณทำสิ่งที่แตกต่างกันไปทุกครั้งที่คุณทำมัน หรือ ถ้าทุกคนในบริษัททำตามดุลพินิจ หรือความพอใจของตน ก็จะเกิดความวุ่นวายได้
3.ประสานเพื่อการทำงานเป็นหนึ่งเดียวหรืออย่างสอดคล้อง
คือ การสร้างผลลัพท์ธุรกิจที่สอดคล้องและสามารถคาดการณ์ได้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจไหน
ทั้ง3สิ่งนี้ คือกระดูกสันหลังของธุรกิจ
แผนธุรกิจของคุณ (7ข้อ)
1. เป้าหมาย
ตั้งคำถามกับตัวคุณเองว่า
อะไรคือสิ่งที่ฉันให้คุณค่ามากที่สุด
ฉันต้องการชีวิตแบบไหร
ฉันพยายามจะเหมือนใคร
สำหรับบริษัทที่เติบโตอย่างเต็มที่แล้ว คือ คนที่รู้ว่าตัวเองมาสู่จุดนี้ได้อย่างไร
2. วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ของคุณ
คือ เครื่องมือสำหรับวัดความคืบหน้าสู่เป้าหมาย
คำประกาศที่ชัดเจนว่าถึงที่สุดแล้ว ธุรกิจจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้คุณบรรลุเป้าหมาย
หรือก็คือ ผลผลิตสุดท้ายซึ่งจะเป็นธุรกิจของคุณ
ใช้มาตราต่อไปนี้
1. เงิน
คุณคิดว่ามันจะต้องมากมายแค่ไหน
2.โอกาสการลงทุนที่คุ้มค่า
ถ้ามีเหตุผลเพียงพอ ว่าทำไมธุรกิจที่สามารถบรรลุเกณฑ์มาตราฐานที่คุณตั้งไว้สำหรับเป้าหมายสูงสุด แล้ว
ก็แสดงว่าธุรกิจคุ้มต่อการลงทุน
3. อื่นๆ
- เสร็จเมื่อใด (เช่น ภายใน2ปี)
- ระดับไหน(ท้องถิ่น ประเทศ อื่นๆ)
3.กลยุทธ์องค์กรของคุณ
มองในฐานะผู้ถือหุ้นไม่ใช่หุ่นส่วน
จัดตามหน้าที่ไม่ใช่บุคคล
สร้างผังองค์กรของคุณ
4.กลยุทธ์การจัดการของคุณ
ระบบที่ได้รับการออกแบบมา เพื่อเป็นต้นแบบธุรกิจของคุณสำหรับ สร้างผลลัพท์ด้านการตลาด
ยิ่งอัตโนมัติมากเท่าไหร่ ยิ่งมีประสิทธิผลมากขึ้น เช่น
โรงแรมที่วางระบบ โดยการวางหนังสือพิมพ์บนเสื่อหน้าห้อง (สร้างผลลัพธ์แบบเดียวกันทุกครั้งที่ลูกค้ามาพัก)
ตอนกลางคืนแสงไฟด้านนอกจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่บรรยากาศรอบตัวมืดขึ้น
5.กลยุทธ์ด้านบุคลากรของคุณ
สร้างบรรยากาศแบบที่การทำมีความสำคัญกว่าการที่คนของคุณจะไม่ทำ เป็นที่ที่การทำ หมายถึงวิถีชีวิตสำหรับพวกเขา
→ พออ่านถึงจุดนี้แล้ว ผมนึกถึงหนังสือด้านจิตวิทยา ที่บอกว่า การวางของไว้จุดในจุดหนึ่งก็เหมือนการบังคับคนโดยไม่รู้ตัวให้ทำอย่างนั้นเลยครับ
6.กลยุทธ์การตลาดของคุณ
นึกถึงลูกค้าเป็นหลัก
ลูกค้าต้องการอะไร
ลูกค้าอาจไม่รู้ตัวว่าตัวเองต้องการอะไร
เสาหลัก2ประการ ที่ค้ำยันความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาดคือ ข้อมูลเชิงประชากรศาสตร์และจิตนิสัย
รู้ว่าลูกค้าคือใคร (ประชากรศาสตร์)
เหตุใดเขาจึงซื้อ (จิตนิสัย)
เรื่องนี้ก็ถูกพูดถึงเหมือนกันในหนังสือ ใช้เงินน้อยกว่าแต่รวยก่อน : The $100 Startup
ที่ผมสรุปไป ลองไปอ่านกันได้นะครับ (เนื้อหาส่วนประชากรศาสตร์แบบดั่งเดิมและแบบใหม่)
7.กลยุทธ์ด้านระบบของคุณ
ระบบทั้ง3ประเภท
Hard system
คือสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น คอมพิวเตอร์
Soft system
อาจเป็นสิ่งมีชีวิตหรือเพียงความคิด เช่น ตัวคุณ
information
คือ ระบบที่จัดสรรข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย เช่น การควบคุมสินค้าคงคลัง รายงานสรุปกิจกรรมการขาย
ลองมาดูตัวอย่างการนำระบบทั้ง3นี้มาใช้ดูกันครับ
Hard system ของ E-Myth worldwide ใช้กระดานขาวหรือไวต์บอร์ดในการสัมมนา ป้ายข้อความต่างๆ (ระบบแก้ไข้ปัญหาแทนตัวบุคคล)
Soft system คือ สิ่งที่ต้องขาย ก็ต้องเป็นคนที่ขายมัน เช่น
เขียนบทพูดที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าอย่างประสบความสำเร็จ
Information System
เป็นการติดตามกิจกรรมในระบบ บอกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้
สรุป (อีกครั้ง)
→ ทำธุรกิจโดยมีมุมมองแบบ ผู้ชำนาญการอย่างเดียวไม่ได้
→ ทำธุรกิจต้องเข้าใจ ความเป็นผู้ประกอบการ ผู้จัดการ และผู้ชำนาญ และหน้าที่
→ ผู้ประกอบการ มองภาพกว้าง อยู่กับอนาคต ผู้จัดการ จัดระเบียบงาน อยู่กับอดีต และผู้ชำนาญการมองภาพงานตรงหน้า อยู่กับปัจจุบัน
→ ธุรกิจคือผลิตภัณหนึ่งของผู้ประกอบการ
→ ธุรกิจที่ดีต้องดำเนินการได้ด้วยตัวมันเอง ผ่านการวางระบบ
→ ความเสมอต้นเสมอปลาย เป็นสิ่งสำคัญของธุรกิจ (ลูกค้ามาต้องประทับใจแบบเดิมทุกครั้ง)
สุดท้าย
เป็นยังไงกันบ้างครับกับสรุป เป็นเจ้าของกิจการที่รุ่งทะยานเกินใคร ต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเข้าใจหลักการทำธุรกิจมากขึ้น ดึงความเป็นผู้ประกอบการ และผู้จัดการออกมา ถึงตอนนี้จะสิ่งที่ทำอยู่จะยังไม่ได้เรียกว่าธุรกิจก็ตาม แต่ในอนาคตถ้าจะเปิดธุรกิจแล้วล่ะก็ ต้องนึกถึงหนังสือดเล่มนี้อย่างแน่นอนครับ
แล้วคุณล่ะได้เรียนรู้อะไรบ้างจากหนังสือเล่มนี้
ในหนังสือจะมีตัวอย่างอีกมากที่ผมไม่ได้เอาสรุปนะครับ