mindset ใช้ความคิด เอาชนะโชคชะตา คือ หนังสือที่ตอบคำถามเหล่านี้
เกิดมาไม่มีพรสวรรค์ จะพัฒนาตนเองได้ไหม ล้มเหลว หมายความว่าฉันไม่ได้เรื่องจริงหรือ
ถ้าหากคุณเป็นคนที่ต้องการพัฒนาตัวเอง โดยเริ่มจากการเปลื่ยน mindset (กรอบคิด) แล้วล่ะก็ หนังสือเล่มนี้ถือว่าตอบโจทย์มากครับ
โดยผู้เขียน carol s. dweck นักวิจัยชั้นนำระดับโลกในด้านบุคลิกภาพ จิตวิทยาสังและจิตวิทยาด้านพัฒนาการ และเป็นผู้ศึกษา กรอบความคิด 2 แบบ นั้นคือ
กรอบความคิดแบบตายตัว
- เชื่อว่าคนที่ล้มเหลวคือ ไม่ฉลาด ไม่เก่ง
- เกิดมาต้องมีพรสวรรค์
- ฉันเหนือกว่าคนอื่นๆ
- ไม่ยอมรับความล้มเหลวของตัวเอง
กรอบความคิดแบบพัฒนา
- เรียนรู้จากความล้มเหลว
- เชื่อว่าคนเราสามารถพัฒนาได้เสมอ
- ทุกคน คือ ฮีโร่
- รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นและนำมาพัฒนา
โดยสรุปแล้ว
→ การเปลื่ยนกรอบคิด (จากกรอบคิดแบบตายตัวเป็นกรอบคิดแบบพัฒนา) นำไปสู่ผลลัพท์แห่งการเติบโต
ในหนังสือจะมีตัวอย่างประกอบมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ผลการวิจัย เรื่องราวของคนมีชื่อเสียงต่างๆ
โดยจะขอเล่าให้ฟัง 3 เรื่องนะครับ
→ กรอบคิด (แบบตายตัวและแบบพัฒนา )
→ กรอบความคิด ด้านกีฬา ธุรกิจ ความรัก
→ การเปลื่ยนกรอบความคิด
เหมาะกับใคร
→ ฉันต้องการเปลื่ยนกรอบคิด
→ ฉันต้องการพัฒนาตัวเอง
→ ฉันต้องการประสบความสำเร็จ
อ่านแล้วได้อะไร
→ เข้าใจกรอบคิดที่มีผลต่อการประสบความสำเร็จของคน
→ เปลื่ยนกรอบความคิด
พร้อมแล้วไปอ่านกันเลย
1. กรอบคิด (แบบตายตัวและแบบพัฒนา)
คนเรามีอยู่แค่ สองประเภท นั่นคือ
รับมือกับความล้มเหลวได้(กรอบคิดแบบพัฒนา)และรับมือกับความล้มเหลวไม่ได้ (กรอบคิดแบบตายตัว)
คนที่รับมือกับความล้มเหลวได้ นั้น นอกจากจะไม่ท้อที่ล้มเหลวแล้ว พวกเขาก็พัฒนาตัวเองให้ฉลาดขึ้น เพราะพวกเขาไม่คิดว่ามันคือความล้มเหลว แต่คือการเรียนรู้ต่างหาก
คำถามที่ว่าคุณสมบัติของมนุษย์เป็นสิ่งตายตัวหรือพัฒนาได้กลายเป็นประเด็นที่ล้าสมัยไปแล้วประเด็นในตอนนี้คือ ความเชื่อเหล่านี้มีความหมายอย่างไรกับคุณ
กรอบคิดสองแบบ
กรอบคิดแบบตายตัว
หมายถึง การเชื่อว่าคุณสมบัติของตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลื่ยนแปลงได้ ทำให้คุณรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุณต้องพิสูจน์ตัวเองว่ามีสติปัญญา บุคลิกและศีลธรรมในระดับที่มากพอ คุณจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าไม่ได้ขาดคุณสมบัติพื้นฐานที่สุดเหล่านี้
กรอบคิดแบบพัฒนา
หมายถึง กรอบคิดที่ตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่าคุณสมบัติพื้นฐานของคุณคือสิ่งที่พัฒนาได้ด้วยความพยายาม ถึงแม้คนเราอาจแตกต่างกันในทุกๆด้าน (ทั้งพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่เกิด ความถนัด ความสนใจ และนิสัยใจคอ) แต่ทุกคนสามารถเปลื่ยนแปลงและเติบโตได้ด้วยความะยายามและประสบการณ์
→ ถ้าเราเชื่อว่า เกิดมาจนจะไม่มีทางรวย ก็เหมือน กรอบคิดแบบตายตัว ใช่ไหมล่ะครับ ในขณะที่อีกคน เกิดมาจนเหมือนกัน แต่มีกรอบคิดแบบพัฒนาที่ว่า ถึงฉันเกิดมาจน แต่ถ้าพยายามฉันก็รวยได้
ตัวอย่างที่ผมเห็นได้ชัดเลย คือ คุณ คมสันต์ ลี flash express ภูมิหลังไม่ได้เป็นคนร่ำรวยแต่มีความฝันที่อยากเป็นคนรวย จนทุกวันนี้ ธุรกิจเขากลายเป็น unicorn(ธุรกิจ Startup ที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3หมื่นล้านบาท) ตัวแรกๆของไทยไปแล้ว
เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นว่ากรอบความคิดมีผลอะไรกับคุณ ลองนึกภาพว่าวันหนึ่งคุณไปเข้าเรียนวิชาสุดโปรดที่มีความสำคัญกับคุณจริงๆ อาจารย์แจกกระดาษ ข้อสอบกลางภาคคืน แล้วคุณก็เห็นว่าตัวเองได้เกรดซีบวก
คุณผิดหวังมาก แถมตอนเย็นขณะกำลังจะขับรถกลับบ้าน คุณยังเจอใบสั่งข้อจอดรถในที่ห้ามจอดอีก คุณรู้สึกหงุดหงิดสุดๆ จึงโทรหาเพื่อนสนิทหวังจะระบายให้ฟัง แต่เขากลับไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย
กรอบคิดแบบตายตัว
→ คุณอาจจะคิดว่า ชีวิตฉันน่าสมเพช ฉันไม่มีเพื่อนเลย หรือ โลกนี้รังแกฉัน
กรอบคิดแบบพัฒนา
→ ถึงแม้จะรู้สึกเสียใจ แต่ฉันก็จะเผชิญหน้ากับความท้าทายและพยายามต่อไป
พัฒนากรอบความคิด
อ่านประโยคต่อไปนี้ แล้วตอบว่าคุณเห็นด้วยหรือไม่
1.ความฉลาดเป็นคุณสมบัติที่ติดตัวมาแต่เกิด ซึ่งไม่สามารถเปลื่ยนแปลงได้มากนัก
2.คุณเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้ แต่พัฒนาตัวเองให้ฉลาดขึ้นไม่ได้
3.ไม่ว่าคุณจะฉลาดแค่ไหน คุณก็สามารถพัฒนาตัวเองให้ฉลาดขึ้นอีกเล็กน้อยได้
4.คุณสามารถพัฒนาตัวเองให้ฉลากขึ้นได้อย่างมหาศาล
→ ผมเชื่อว่า ถึงแม้ว่าจะทำสิ่งเดียวกัน แค่กรอบคิดต่างกัน ผลลัพท์ก็ไม่เหมือนกันครับ เช่น ถ้าให้ 2คน ต่อเลโก้ โดยคนหนึ่งมีกรอบคิดแบบตายตัว และอีกคนมีกรอบคิดแบบพัฒนา พอเวลาผ่านไป ถ้าเลโก้นั้นต่อยาก คนแรกก็คงจะยอมแพ้ไปและเชื่อว่าตัวเองไม่มีพรสรรว์ด้านนี้ ส่วนคนหลัง จะรู้สึกสนุกกับการหาวิธีใหม่ๆและพัฒนาตัวเองไปด้วย ครับ
กรอบความคิด ด้านกีฬา ธุรกิจ และความรัก
ราวนี้ลองมาดู กรอบคิดด้าน กีฬา ธุรกิจและความรัก กันบ้างครับ
กีฬา : กรอบคิดของผู้ชนะ
ในแวดวงกีฬา ทุกคนเชื่อเรื่อง พรสวรรค์แม้กระทั้งผู้เชี่ยวชาญ ความจริงแล้วกีฬาคือต้นต่อของความคิดที่ว่า บางคน “เก่งแต่เกิด” บิลลี ลีน เป็นพวกที่เก่งแต่เกิด ทุกคนเห็นตรงกันว่า เขาคือเบ็บ รูธ คนต่อไป แต่บีนขาดสิ่งหนึ่งนั้นคือ กรอบคิดแบบผู้ชนะ
เมื่อบิลลี บีน ขึ้นเกรด 11 เขาก็กลายเป็นผู้ทำแต้มสูงสุดของทีมบาลเกตบอล เป็นผู้เล่นตำแหน่งควอเตอร์แบ็กของทีมอเมริกันฟุตบอล และเป็ฯสุดยอดมือหวดของทีมเบสบอล โดยหวดลูกได้เฉลี่ย .500 ในการแข่งขันครั้งหนึ่งที่โหดที่สุดในประเทศ
พรสวรรค์ของเขาดูจะเป็นของจริงแต่ทันทีที่เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น บีนจะรับไม่ได้ทันที ไม่ใช่แค่เขาเกลียดความพ่ายแพ้ เท่านั้น แต่เหมือนกับว่าเขายังแพ้ไม่เป็นอีกด้วย เพราะเขามีกรอบคิดแบบตายตัว เขาเชื่อว่าคนที่เก่งแต่เกิดไม่ควรต้องพยายาม ความพยายามมีไว้สำหรับคนที่เกิดมาด้อยกว่า
เขายึดติดกับพรสวรรค์อันล้นเหลือของตัวเอง บีนจึงย่ำอยู่กับที่ระหว่างที่ลงเล่น มีผู้เล่นอีกคนหนึ่งที่เล่นเคียงบ่าเคียงไหล่เขามาตลอด คนๆนั้นคือ ไดค์สตรา ซึ่งไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของคุณสมบัติทางร่างกาย หรือ ความสามารถโดยกำเนิด บีน เริ่มเข้าใจว่านักเบสบอลต้องมีคุณสมบัติแบบไหนและเห็นเลยว่ามันไม่ใช่เขา แต่เป็นไดค์สตรา
ขณะที่จับตามอง รับฟัง และครุ่นคิด บีนก็ตระหนักได้ว่ากรอบคิดสำคัญกว่าพรสวรรค์มาก นักกีฬาที่มีกรอบคิดแบบพัฒนาได้ประสบความสำเร็จด้วยการเรียนรู้และพัฒนา ไม่ใช่การเอาชนะ ยิ่งคุณทำแบบนั้นได้มากเท่าไหร่ กีฬาก็จะนิ่งมอบรางวัลให้แก่คุณและเพื่อนร่วมทีมของคุณมากขึ้นเท่านั้น
ธุรกิจ : กรอบคิดกับความเป็นผู้นำ เอนรอนกับกรอบคิดด้านพรสวรรค์
ในปี 2001 เกิดข่าวที่ทำให้วงการธุรกิจต้องตกตะลึง นั่นคือ องค์กรดีเด่นและบริษัทแห่งอนาคตอย่างเอนรอนล้มละลาย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ บริษัทที่มีแววโดดเด่นขนาดนั้นกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ได้อย่างไร เป็นเพราะพวกเขาไร้ความสามารถหรือเป็นเพราะการทุจริตกันแน่ สาเหตุจริงๆ อยู่ที่กรอบคิด
มัลคอล์ม แกลดเวลล์ (ผู้เขียนหนังสือ talking to strangers ศิลปะการอ่าคน) เขียนไว้ในนิตยสารเดอะ นิวยอร์ดเกอร์ ว่า บริษัทสัญชาติอเมริกันเริ่มหมกหมุ่นกับเรื่องพรสวรรค์ อันที่จริงแล้ว บรรดาผู้เชี่ยวชาญของแมคคินซีบ์ แอนด์ คอมพานี บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการชั้นนำของประเทศยืนกรานว่า ความสำเร็จของบริษัทในปัจจุบันต้องอาศัย “กรอบคิดด้านพรสวรรค์”
พวกเขาย้ำว่า เช่นเดียวกับแวดวงกีฬาที่มีผู้เล่นที่เก่งแต่เกิด แวดวงธุรกิจก็มีคนแบบนั้นเช่นกันเอนรอนจ้างคนที่มีพรสวรรค์สุดๆ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีประวัติการศึกษาที่เลิศหรู ซึ่งไม่ใช่เรื่องแย่อะไรเลย แต่เพราะศรัทธาในพรสวรรค์อย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำให้เกิดวัฒนธรรมที่เทิดทูนคนมีพรสวรรค์มากเป็นพิเศษ
มันบีบให้พนักงานมีกรอบคิดแบบตายตัว (คนเก่งมีพรสวรรค์แต่เกิด คนที่ต้องพยายามนั้นด้อยกว่า) แกลดเวลล์ สรุปว่า เวลาผู้คนอยู่ในสภาพที่ยกย่องพวกเขาเพราะมีพรสวรรค์โดยกำเนิด พวกเขาย่อมทำใจได้ยากมากเมื่อภาพลักษณ์ของตัวเองถูกคุกคาม เห็นได้ชัดว่าบริษัทที่ไม่แก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเองย่อมไม่สามารถเจริญรุ่งเรืองได้
องค์กรที่เติบโต
อะไรทำให้บริษัทที่เจริญรุ่งเรืองแตกต่างตากบริษัทอื่น โดยเฉพาะผู้นำ สาเหตุเป็นเพราะ คนเหล่านี้มีกรอบคิดแบบพัฒนาได้ พวกเขาเชื่อในพัฒนาการของมนุษย์พวกเขาพยายามพัฒนาตัวเองอยู๋ตลอดเวลา โดยคลุกคลีกับคนที่มีความสามารถที่สุดเท่าที่จะหาได้
พิจารณาข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาคอลลินส์ (ผู้เขียนหนังสือ Good to Great) รายงานว่า อลัน เวิร์ตเซล ซีอีโอของเซอร์กิต ซิตี้ บริษัทบักษ์ใหญ่ที่ค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าและมีหลายสาขา ได้จัดการอภิปรายขึ้นในห้องประชุมคณะกรรมการบริษัท แทนที่จะพยายามทำให้คณะกรรมการประทับใจ เขากลับเรียนรู้จากคนเหล่านั้น ทั้งยังทำแบบนี้กับทีมผู้บริหาของเขาด้วย
กล่าวคือ เขาตั้งคำถาม โต้แย้ง รวมถึงสร้างแรงกระตุ้นจนกระทั้งเขาค่อยๆเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นว่า ตอนนี้บริษัทอยู่ตรงจุดไหนและต้องไปที่จุดไหน
→ ไม่ใช่แค่ต้องผู้นำเท่านั้นถึงต้องพิจารณาเรื่องนี้ แม้แต่พนักงานถ้ามีกรอบคิดแบบพัฒนา ก็จะทำให้งานของตัวเองดีขึ้นได้เรื่อยๆ แม้ว่าจะมีปัญหาเข้ามาเรื่อยๆก็ตามใช่ไหมล่ะครับ
ความสัมพันธ์ : กรอบคิดด้านความรัก (หรือไม่รัก)
คนที่มีกรอบคิดแบบตายตัวจะรู้สึกว่าถูกตัดสินและตราหน้าเมื่ออีกฝ่ายเดินจากไป พวกเขารู้สึกราวกับมีคำว่า ไม่มีใครรัก แปะอยู่บนหน้าผาก คนกลุ่มนี้จึงหวังว่าจะได้ทำร้ายคนที่ฝากรอยแผลเอาไว้
พูดง่ายๆว่า เป้าหมายแรกของพวกเขาคือ การแก้แค้น อีกมุมหนึ่ง คนที่มีกรอบคิดแบบพัฒนา พวกเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกตราหน้าไปตลอดชีวิต พวกเขาพยายามเรียนรู้สิ่งที่มีประโยชน์เกี่ยวกับตัวเองและความสัมพันธ์ เพื่อนำไปใช้สร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าเดิมในอนาคต
กรอบคิดยามตกหลุมรัก
สำหรับกรอบคิดแบบตายตัวในเรื่องของความสัมพันธ์ มี3ปัจจัยที่เข้ามามีบทบาท นั่นคือ
ความเชื่อที่ว่า
1คุณสมบัติของคุณเป็นสิ่งตายตัว
2คุณสมบัติของคนรักคุณเป็นสิ่งตายตัว
3ความสัมพันธ์ก็เป็นสิ่งตายตัว
ปัญหาข้อแรก
คือ คนที่มีกรอบคิดแบบตายตัวคาดหวังว่าเรื่องดีๆจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ โดยที่พวกเขาและคนรักไม่ต้องช่วยกันแก้ปัญหา
สำหรับกรอบคิดแบบพัฒนา คนกลุ่มนี้ไม่คาดหวังว่าจะเกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นกับความสัมพันธ์ พวกเขาเชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนเกิดขึ้นจากความพยายามและการรับมือกับความแตกต่างของอีกฝ่าย
ปัญหาข้อที่2
คนที่มีกรอบคิดแบบตายตัว คือ ความเชื่อที่ว่าปัญหาเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงข้อบกพร่องที่ซ่อนอยู่ลึกๆ โดยเฉพาะข้อบกพร่องทางนิสัยทันทีที่คนที่มีกรอบคิดแบบตายตัวมองเห็นข้อบกพร่องในตัวคนรัก
พวกเขาจะเริ่มดูแคลนคนรักและไม่พอใจทุกอย่างในความสัมพันธ์ครั้งนี้ ในทางกลับกัน ถึงแม้คนที่มีกรอบคิดแบบพัฒนาได้จะมองเห็นความไม่สมบูรณ์แบบในตัวคนรัก แต่พวกเขาก็ยังคิดว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้ไปได้สวย
→ ไม่ใช่แค่เรื่องของคนรักเท่านั้น เรายังเอาไปใช้กับครอบครัว เพื่อน ได้เช่นกัน เพื่อนๆมีกรอบคิดแบบตายตัวในเรื่องความสัมพันธ์บ้างไหม และจะใช้กรอบพัฒนามาช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไรครับ?
→ หลังอ่านบทนี้แล้ว ผมเปลื่ยนกรอบคิดในเรื่องครอบครัวเป็นการทำความเข้าใจ ในความคิดที่แตกต่าง เรียนรู้จากมัน และทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นถึงจะมีอะไรที่เราไม่เห็นด้วยก็ตามครับ
เปลื่ยนกรอบคิด
การเปลื่ยนแปลงอาจยากลำบาก แต่คนที่เปลื่ยนแปลงกรอบคิดของตัวเองได้จริงๆ สามารถบอกคุณได้ว่าชีวิตของพวกเขาดีขึ้นแค่ไหนคุณต้องตัดสิยใขเอาเองว่าตอนนี้คือ ช่วงเวลาที่เหมาะจะเปลื่ยนแปลงหรือไม่ เมื่อคุณเจออุปสรรคคุณก็สามารถหันไปพึ่ง กรอบคิดพัฒนาได้
สรุปอีกครั้ง
กรอบความคิดแบบตายตัว
- เชื่อว่าคนที่ล้มเหลวคือ ไม่ฉลาด ไม่เก่ง
- เกิดมาต้องมีพรสวรรค์
- ฉันเหนือกว่าคนอื่นๆ
- ไม่ยอมรับความล้มเหลวของตัวเอง
กรอบความคิดแบบพัฒนา
- เรียนรู้จากความล้มเหลว
- เชื่อว่าคนเราสามารถพัฒนาได้เสมอ
- ทุกคน คือ ฮีโร่
- รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นและนำมาพัฒนา
→ การเปลื่ยนกรอบคิด (จากกรอบคิดแบบตายตัว เป็นกรอบคิดแบบพัฒนา) นำไปสู่ผลลัพท์แห่งการเติบโต
พออ่าน “mindset ใช้ความคิด เอาชนะโชคชะตา” จบแล้ว ผมนึกถึงประโยค ที่โรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้เขียนหนังสือ พ่อรวยสอนลูก ที่บอกไว้ว่า แทนที่จะพูดว่าฉันทำไม่ได้(กรอบคิดตายตัว)ให้พูดว่า ฉันจะทำได้อย่างไร(กรอบคิดพัฒนา) ครับ
คนที่ประสบความสำเร็จและยังเป็นอย่างนั้นอยู่ได้ทุกวันนี้ หลายๆคน ผมเชื่อว่า พวกเขามีกรอบคิดพัฒนา เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาหลังจากนี้ ผมจะลองเปลื่ยนกรอบคิดดู ในบางเรื่องที่เราคิดว่า เรามีกรอบคิดตายตัวกับมันครับ
แล้วเพื่อนๆล่ะ หลังจากนี้จะเปลื่ยนกรอบคิดไหม และเปลื่ยนกับเรื่องอะไรบ้าง