0

【สรุป】TALK LIKE TED : 9 เคล็ดลับการนำเสนอให้เปี่ยมพลัง ตรึงใจ

  • พฤษภาคม 6, 2022

สวัสดีครับ TALK LIKE TED เป็นหนังสือ เคล็ดลับการนำเสนอที่คุณก็สามารถทำให้ผู้ฟังประทับใจและจดจำได้ ผ่าน 9เคล็ดลับ ที่ผู้เขียนได้กลั่นกลองจากประสบการณ์การสัมภาษณ์จากแขกรับเชิญมากประสบการณ์หลายท่านมาแล้ว

หลายๆคนคงจะเคยฟัง กันอยู่แล้ว TED เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้แขกรับเชิญมาแชร์ IDEAเจ๋งๆ ประสบการณ์ดีๆ มากมาย และ TED ยังมียอดผู้ติดตาม และผู้ชมมหาศาล

อะไรคือเคล็ดลับความสำหรับในการพูดในที่สาถารณะ? หนังสือเล่มนี้จะนำเสนอ 9 ความลับ ในการพูดในที่สาธารณะ ให้สร้างแรงบันดาล มีคนจดจำ อย่างที่แขกรับเชิญได้เคยทำมาแล้ว

สรุป TALK LIKE TED

การที่เราจะพูดในสาธารณะได้ดีนั้นคือ

  1. ต้องมีpassion แรงบันดาลใจในสิ่งที่เราพูด ก่อนจะถ่ายทอดและ สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น
  2. เล่าเรื่อง
  3. ความเร็ว ระดับ น้ำเสียง การหยุดเพื่อเน้นคำ ภาษากาย
  4. Idea นำเสนอในมุมมองใหม่ๆ
  5. เล่นกับความรู้สึกให้คนจดจำ  (เซอร์ไพรส์ ช็อค สนุกสนาน และอื่นๆ)
  6. ใส่อารมณ์ขันเข้าไป (ไม่ใช่มุขตลก)
  7. เน้นภาพ มากกว่าแค่คำ
  8. เป็นตัวของตัวเอง

โดย 9 ความลับ จะแบ่งเป็น3ส่วน นั้นก็คือ

ส่วนที่ 1: การเข้าถึงอารมณ์ (Emotional)

1.สื่อสารความยอดเยี่ยมออกมาจากใจ (Unleash the Master Within)

2. เล่าเรื่องให้เก่ง (Master the Art of Storytelling)
3. นำเสนอให้เหมือนการพูดคุย (Have a Conversation)


ส่วนที่ 2: เป็นสิ่งใหม่ (Novel)

4. สอนสิ่งใหม่ให้กับผู้ฟัง (Teach Me Something New) 
5. สร้างช่วงเวลาฝังเขี้ยว (Deliver Jaw-Dropping Moments)
6. ทำให้มีชีวิตชีวา (Lighten up)


ส่วนที่ 3: น่าจดจำ (Memorable)

7. จำกัดเวลาที่ 18 นาที (Stick to the 18-Minutes Rule)
8. สร้างความทรงจำในใจ โดยการใช้ประสบการณ์ที่หลากหลาย (Paint a Mental Picture with Multi sensory Experiences)
9. เป็นตัวของตัวเอง (Stay in your Lane)

หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว

รับรองว่าเพื่อนๆ จะสามารถFocus ในสิ่งที่สำคัญ และนำเสนอIdea ประสบการณ์ ในที่สาธรณะ ได้เป็นที่น่าจดจำยิ่งขึ้นครับ

หนังสือเล่มนี้เหมาะกับ

  • ผู้ที่ต้องการฝึกตัวเองในการพูดในที่สาธารณะ
  • ถ่ายทอดสิ่งสำคัญให้แก่สังคม
  • เข้าใจการทำงานของสมองคน
  • และอื่นๆ

เชิญอ่านได้เลยครับ

1.สื่อสารความยอดเยี่ยมออกมาจากใจ (Unleash the Master Within)

คำถาม

  1. Passion ของคุณคืออะไร
  2. อะไรที่ทำให้คุณมีความสุข

Passion เป็นสิ่งที่คุณต้องมีก่อนจะไปสร้างแรงบันดาลใจให้ใคร เพราะ ถ้าคุณไม่มี Passion หรือ แรงบันดาลใจ คุณจะทำให้คนอื่นได้อย่างไร

Passion ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง งานอดิเรก หรือ สิ่งที่ทำ แต่คือ เหตุผลที่คุณทำนั้นเอง เช่น เพื่อสร้างความหวังให้กับผู้ที่หมดหวัง แล้วอะไรที่ทำให้คุณมีความสุขล่ะ?

ในที่นี้หมายถึง สิ่งที่มากกว่า Passion เหตุผลที่กว้างขึ้นในการทำ เช่น เพื่อเปลื่ยนชีวิตของผู้คน  ทั้ง2คำถามนี้ คือ คำถามที่เพื่อนๆควรจะต้องรู้ก่อนสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นครับ

2. เล่าเรื่องให้เก่ง (Master the Art of Storytelling)

มีการวิจัยพบว่าการเล่าเรื่องนั้นทำให้ผู้พูดกับผู้ฟังเชื่อมต่อกัน เช่น การจินตนาการจากเรื่องราวไปพร้อมกันในการพรีเซนต์ที่ดีนั้น การเล่าเรื่องถือเป็นสัดส่วน 65เปอร์เซนต์  ข้อมูล 25 เปอร์เซนต์ และความน่าเชื่อถือของผู้พูดเพียง 10เปอร์เซนต์เท่านั้นเพราะว่าการเล่าเรื่องนั้นง่ายต่อการจดจำ เพื่อนๆสามารถนำเรื่องมาเล่าได้จาก3แหล่งคือ

  1. เรื่องเล่าส่วนตัว
  2. เรื่องเล่าจากผู้อื่น
  3. เรื่องเล่าจากแบรนด์หรือธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

เรื่องเล่าที่ดีนั้นต้องเริ่มจาก เหตุการณ์ที่ดี – แย่ – ดี  หรือจะ แย่ และสุดท้ายดีเช่น ซินเดอเรลล่าอย่าใช้คำซ้ำๆบ่อย

3. นำเสนอให้เหมือนการพูดคุย (Have a Conversation)

“อย่าพรีเซนต์ ให้พูดคุย”4องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการพรีเซนต์ คือ

  • ความเร็ว
  • ระดับเสียง
  • น้ำหนักเสียง
  • การหยุดเพื่อเน้นความสำคัญ (เป็นเหมือนการhighlight คำในหนังสือ)

ปกติคนเราจะพูด 150-160คำต่อนาที การพรีเซนต์ให้ทำเหมือนเรากำลังพูดคุย นั้นคือประมาณ 150-160คำ ไม่เร็วและไม่ช้าไปครับ

เพราะผู้ฟังจะเห็นท่าทาง การขยับปาก ทำให้เขาจับใจความได้ง่าย ซึ่งต่างจากหนังสือเสียงที่ต้องพูดช้าๆ เพราะ ไม่เห็นอะไรเลย ต้องฟังอย่างเดียว

นอกจากนี้ น้ำเสียง และ ภาษากาย ยังถือว่ามีความสำคัญมากกว่าคำพูดซะอีก

  • คำพูด 7 เปอร์เซนต์
  • โทนเสียง  38เปอร์เซนต์
  • ภาษากาย 55 เปอร์เซนต์

ร่างกายเราจะเปลื่ยนความคิดเรา และความคิดเราจะเปลื่ยนพฤติกรรม เช่นการใช้มือ ระหว่างการพูดทำให้ความคิดเป็นอิสระมากยิ่งขึ้นผู้คนจะตัดสินคุณตลอดเวลา

4. สอนสิ่งใหม่ให้กับผู้ฟัง (Teach Me Something New) 

ให้มุมมองใหม่ๆต่อโลกอย่างน้อย 1 อย่าง ในการพรีเซนต์ของคุณฮีโร่ทุกๆคนมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเองรวบรวมและนำเสนอข้อมูลในรูปแบบใหม่ๆ

ถึงแม้จะเป็นสถิติก็ตาม เพราะสมองของมนุษย์ชอบสิ่งใหม่ๆ   มนุษย์ยังชอบการมองภาพกว้างมากกว่ารายละเอียด ดังนั้น นำเสนอภาพรวมก่อน แล้วค่อยลงรายละเอียดครับ

5. สร้างช่วงเวลาฝังเขี้ยว (Deliver Jaw-Dropping Moments)

เล่นกับความรู้สึกของผู้ฟัง ยิ่งเป็นอะไรที่ เซอร์ไพรส์ น่าประหลาดใจ สนุก แล้วละก็คนจะจดจำได้ดี เช่น เหตุการณ์ 9/11 คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นคงจะจำรายละเอียดของ สิ่งที่ตัวเองทำ สภาพแวดล้อม สีหน้าของคนรอบข้างได้ดี เพราะมีเหตุการณ์มากระตุ้นความรู้สึก

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การพรีเซนต์ของ Bill Gate ที่พูดถึง โรค มาเลเลีย ที่คร่าชีวิตของคนในประเทศที่จน โดยการนำยุงใส่โหล และนำเสนอ จนเป็นพาดหัวข่าว  “Bill Gate ปล่อยยุง” เล่าเรื่องก่อนที่จะเปิด Power point  เพราะเรื่องที่ดีจะดึงความสนใจของผู้ฟังมากกว่า

การเปิด Power point ที่น่าเบื่ออย่างเดียวสมองของคนเราชอบรูปธรรม มากกว่า นามธรรม ดังนั้น บอกผู้ฟังว่าสิ่งที่คุณเล่าอยู่นั้นมีผลยังไงต่อชีวิตของพวกเขา (นี่จะทำให้ผู้ฟังเห็นภาพชัดขึ้นและเป็นรูปธรรม)ผู้ฟังจะไม่ ว้าว กับคุณถ้าพวกเขาไม่เข้าใจคุณ

6. ทำให้มีชีวิตชีวา (Lighten up)

อารมณ์ขัน ทำให้เกิดสารเอ็นโดรฟิน ทำให้อีกฝ่ายลดกำแพงลง  ซึ่งต่างจาก อะดรีนาลีน ตอนที่เรากลัวหรือตกใจ ที่ทำให้เราสร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันตัวอารมณ์ขันเป็นเครื่องมือของมนุษย์ในการแสดงความเป็นผู้นำ เช่น หัวหน้าที่แสดงอารมณ์ในขณะที่ลูกน้องไม่ค่อยแสดง

ลองสร้างอารมณ์ขันจาก 5 สิ่งนี้ดูครับ

  1. เรื่องราวของตัวเอง  , จากการสังเกตุ  เช่น วันนี้ไปเจออะไรมา
  2. ใช้การเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น Semiconductor เหมือนกับ สมองของโทรศัพท์
  3. อ้างคำพูดคนอื่น(quote) หลีกเลี่ยงประโยคที่ถูกใช้บ่อย อาจเป็นคำพูดจากคนรอบตัวก็ได้
  4. วิดีโอ
  5. ภาพ

7. จำกัดเวลาที่ 18 นาที (Stick to the 18-Minutes Rule)

จากการวิจัยแล้ว 18-20นาที(ไม่มากไม่น้อย)จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของสมองในการจดจำ และเปิดโอกาสให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ cognitive backlog คือ การที่ข้อมูลมีจำนวนมากทำให้การแลกเปลื่ยนไอเดียยากลำบาก

ใช้กฏ 3 อย่างมนุษย์มักจะจำอะไร 3 อย่าง หรือ 3 ส่วน เช่น เบอร์โทรศัพท์ 3 ส่วน (3หลัก 3หลัก 4หลัก)เขียนหัวข้อให้ได้3อย่าง โดย

  1. เขียนหัวเรื่องที่อยากให้ผู้ฟังรู้ เช่น Steve job บอกว่า Do what you love
  2. เขียนหัวข้อย่อยจาก 1 เป็น3อย่าง (ต้องทำอะไรบ้าง)
  3. ใน3ส่วนย่อย ใส่ย่อยลงไปอีกอย่างละ 3

8. สร้างความทรงจำในใจ

โดยการใช้ประสบการณ์ที่หลากหลาย (Paint a Mental Picture with Multi sensory Experiences)ใช้สัมผัสต่างๆสร้างอารมณ์ เพื่อให้คนจดจำ (เสียง ภาพ กลิ่น การสัมผัส การฟัง และ อื่นๆ)

ภาพ จะจำได้ดีกว่าคำ10 สไลด์แรกไม่ควรมีคำมากกว่า 40 คำอย่าทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เช่น ให้ผู้ฟังอ่านคำในสไลด์ ในขณะฟังคำพูดไปด้วย 

ในความเป็นจริงเราไม่สามารถทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้คำพูด สามารถทำให้เกิดภาพได้ เช่น การเล่าเรื่องทำให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการตาม

9. เป็นตัวของตัวเอง (Stay in your Lane)

ผู้ฟังจะเชื่อคุณก็ต่อเมื่อคุณเป็นตัวของตัวเองอย่าพยายามที่เป็นคนอื่น เช่น  มีผู้หญิงคนหนึ่งบอกกับ โอปราห์ ว่า ฉันอยากเป็นแบบคุณ โอปราห์ ตอบกลับว่า อย่าทำก่อนที่คุณจะไปพูดในที่สาธารณะอย่างเป็นตัวเองได้นั้น เริ่มต้นจากการฝึกกับคนใกล้ตัวให้คุ้นชินก่อน

สรุปอีกครั้ง

  1. ต้องมีpassion แรงบันดาลใจในสิ่งที่เราพูด ก่อนจะถ่ายทอดและ สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น
  2. เล่าเรื่อง
  3. ความเร็ว ระดับ น้ำเสียง การหยุดเพื่อเน้นคำ ภาษากาย
  4. Idea นำเสนอในมุมมองใหม่ๆ
  5. เล่นกับความรู้สึกให้คนจดจำ  (เซอร์ไพรส์ ช็อค สนุกสนาน และอื่นๆ)
  6. ใส่อารมณ์ขันเข้าไป (ไม่ใช่มุขตลก)
  7. เน้นภาพ มากกว่าแค่คำ
  8. เป็นตัวของตัวเอง

สุดท้าย

เป็นยังไงกันบ้างครับ กับ TALK LIKE TED : 9 เคล็ดลับการนำเสนอให้เปี่ยมพลัง ตรึงใจ

หลังจากที่ผมอ่านเสร็จแล้วได้ไอเดียดีๆใช้ทำงานของผมมากขึ้นเยอะเลย โดยเฉพาะ งานสอนที่ต้องใช้การพรีเซนต์อยู่แล้ว ซึ่งรวมถึงการสรุปหนังสือด้วย (กฏ3ข้อ) เป็นประโยชน์จริงๆในยุคที่เราต้องนำเสนออยู่บ่อยๆ

แล้วเพื่อนๆล่ะ ใช้ประโยชน์อะไรจากหนังสือเล่มนี้ได้บ้างครับ

สนใจ TALK LIKE TED : 9 เคล็ดลับการนำเสนอให้เปี่ยมพลัง ตรึงใจ