หนังสือ การเงินคนจน ตอบโจทย์คำถามเหล่านี้
→ คนจนเก็บเงินอย่างไร
→ คนจนใช้เงินอย่างไร
สวัสดีครับ ผมจี้ ในบทความนี้จะมาสรุปหนังสือ “การเงินคนจน”
โดยผู้แต่ง สจวร์ต รัทเทอร์ฟอร์ด นักวิจัยและที่ปรึกษาด้านบริการทางการเงินเพื่อคนจน เขาได้สำรวจพฤติกรรมการเงินของคนจน จากหลากหลายประเทศทั่วโลก และสรุปในหนังสือเล่มนี้
ซึ่งพฤติกรรมหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะประเทศไทย หรือประเทศไหน คนจนก็ยังมีบางอย่างที่เหมือนๆกัน นั้นคือ ความต้องการในการออมเงิน เพื่อแปลงเป็นเงินก้อน ไปใช้จ่ายในเวลาต่างๆ
สรุป
→ ปัญหาของคนจน คือ มีเงินใช้จ่ายไม่เพียงพอ ต้องหาวิธีแปลงเงินออมให้เป็นเงินก้อน เพื่อนำมาใช้ง่ายในชีวิตประจำวัน ( รวมถึง เหตุการณ์ตาม “วงจรชีวิต” เหตุการฉุกเฉิน และ โอกาสการลงทุน)
→ คนจนไม่มีโอกาสเข้าถึงบริการธนาคาร ทำให้ต้องใช้บริการการเงินนอกระบบ (บริการนักรวบรวมเงินฝาก เงินกู้จากนายทุน วงแชร์ เป็นต้น)
→ ไมโครไฟแนนซ์ มีส่วนช่วยในการบรรเทาความยากจนผลิตภัณฑ์ที่เหมาะแก่ศัพยภาพของคนจน คือ เข้าถึงเงินการในเวลาที่ต้องการ และไม่ยุ่งยาก
เหมาะกับคนที่
→ อยากศึกษาการเงินของคนจน
→ สนใจ ไมโครไฟแนนซ์
→ หาความรู้เศรษฐศาสตร์เพิ่มเติม และอื่นๆ
อ่านแล้วได้อะไร
→ เข้าใจกลุ่มเป้า และวิธีการนำระบบเข้ามาแก้ปัญหา
→
ความจำเป็นของการออม
คนจนออมเงินเพื่อแปลงเงินเป็นเงินก้อน เพราะมีความจำเป็นหลายอย่าง ในหนังสือได้แบ่งเป็น3ประเภท คือ เหตุการณ์ตาม “วงจรชีวิต” เหตุการฉุกเฉิน และ โอกาสการลงทุน
เหตุการณ์ตาม “วงจรชีวิต”
เช่น ในบางพื้นที่ของแอฟริกา งานศพ(อาจแพงหูฉี่) ลูกเข้าโรงเรียน สร้างบ้าน เป็นม่าย สูงวัยขึ้น
เหตุการฉุกเฉิน
เช่น เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ การตกงาน ความตายของผู้นำในครอบครัว ภาวะสงคราม อุทกภัย เป็นต้น
โอกาสการลงทุน
เช่น ซื้อที่ดิน ย้ายไปต่างประเทศเพื่อทำงานรายได้ดีคนจนก็เหมือนกับเรา พวกเขาอยากลงทุนในสิ่งของแพงๆที่ทำให้ชีวิตสุขสบายมากขึ้น เช่น หลังคาที่ทนทาน เฟอร์นิเจอร์คุณภาพดีขึ้น พัดลม หรือโทรทัศน์ เป็นต้น
บริการทางการเงินสำหรับคนจน (วิธีที่คนจนใช้ในการแปลงเงินออมให้เป็นเงินก้อน)
1.ขายสินทรัพย์ที่ตัวเองเป็นเจ้าของ (หรือคาดว่าจะได้เป็นเจ้าของ)
เช่น การขายผลผลิตทางการเกษตรล่วงหน้า
2.เอาสินทรัพย์เหล่านั้นไปจำนอง (หรือจำนำ)
3.หาทางเปลี่ยนการออมเป็นเงินก้อนใหญ่
การแปลงเป็นเงินก้อน3วิธีนี้ผู้เขียนเรียกว่า ตัวกลางฐานรากด้านการเงินส่วนบุคคล คือ เป็นตัวกลางทางการเงิน(วิธี)ที่แปลงทรัพย์สินหรือเงินออมเป็นเงินก้อนซึ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน(ฐานราก)ส่วนบุคคล
คนจนแทบไม่มีทรัพย์สินอะไรติดตัวโดยนิยาม และดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ นิยมใช้วิธีที่3 คือ
การเปลี่ยนเงินออมเป็นเงินก้อน นอกระบบ
1.การออมแบบสะสม (saving up)
สะสมเงินออมทีละน้อย นำเงินก้อนที่ออมได้ไปใช้ภายหลัง (เงินก้อนได้มาหลังการออม)
โดยในหนังสือได้ยกตัวอย่าง ของนักรวบรวมเงินฝากชื่อ นโยธี เธอจะคอยไปเก็บเงินออมที่บ้านของผู้ใช้บริการ โดยเขียนใส่กระดาษ 220ช่อง (แนวนอน11แถวและแนวตั้ง20แถว)
สมมุติว่าวันละ5รูปีก็จะใส่เลข5ลงในแต่ละช่องครับ โดยเมื่อครบระยะการออมแล้ว ชโยที จะนำเงินออมคืนผู้ใช้บริการ แต่จะมีการหักคิดธรรมเนียม 20 จาก 220ช่อง (5×20 100รูปี)
ทำไมคนจนต้องออมเช่นนี้?
ดูๆแล้วก็เหมือนเป็นการออมที่ดอกเบี้ยติดลบ? สำหรับคนจนแล้ว ธนาคารก็ดูห่างไกลในทางวัฒนธรรมเกินกว่าที่คนจนจะสนใจ และธนาคารเองก็คงไม่อยากได้เงินฝากจำนวน 5รูปีต่อวัน
และการเก็บเงินที่บ้านก็ไม่ปลอดภัย เช่น ถ้าฝังไว้ในดินก็อาจจะเสียหายได้ หรือ ไม่มีวินัยพอที่จะออม (ต้องมีคนคอยมาเตือน)พวกเขาจึงยอมรับความเสี่ยงของการมอบเงินออมให้นักรวบรวมเงินฝากที่ไม่มีใบอนุญาตนอกระบบ บริการของนักรวบรวมเงินฝากเหล่านี้สะท้อนรูปแบบที่เรียบง่ายที่สุดของ ตัวกลางฐานรากด้านการเงินส่วนบุคคล
2.การออมแบบผ่อนส่ง (saving down)
กู้มาก่อนแล้วค่อยๆผ่อนส่ง (เงินก้อนได้มาก่อนการออม) เป็นวิธีการแปลงเงินออมเป็นก้อน โดยสัญญาว่าจะนำเงินออมในอนาคตมาชำระเงินที่ได้มาล่วงหน้า
โดยนายทุนนอกระบบวิธีการของนายทุนนั้นง่ายมาก เขาปล่อยเงินกู้ให้คนจนโดยไม่มีอะไรค้ำ (หรือหลักประกัน) จากนั้นก็รับเงินของเขาคืนเป็นงวดๆ เขาคิดค่าบริการด้วยการหักเงินบางส่วน (เช่นร้อยละ15) ออกจากเงินต้นตอนส่งมอบเงินกู้ เช่น
กู้เงิน1000รูปี นายทุนจะหัก ไว้เลย 150 รูปี ดังนั้นจึงจะได้มา 850รูปี เงินกู้นอกระบบเหมือนกับ ตัวกลางฐานรากด้านการเงินส่วนบุคคล ทุกรูปแบบ ตรงที่มูลค่าของเงินที่ออกมา(เงินก้อนที่ได้รับ) ตรงกับมูลค่าของเงินที่จ่ายไป(ออมเข้าไป)เมื่อลูกค้าใช้บริการของชโยธีหรือนายทุนรอบแล้วรอบเล่า ความแตกต่างระหว่าง การออม กับ การกู้ ก็เลือนรางหายไป
3.การออมแบบระหว่างทาง (saving through)
ถอนเงินก้อนเมื่อต้องการ แลกกับการได้กระแสเงินออม หรือ ส่วนผสมของวิธีออม2หรือทั้ง3วิธี (เงินก้อนได้มาระหว่างออม)ทำนองเดียวกับประกันรถ ถ้าเกิดรถไปชนเข้า ก็จะได้เงินก้อนมาระหว่างผ่อน , หรือจะเป็นการเล่นแชร์ ที่ได้เงินมาระหว่างผ่อนเป้าหมายคือ การแปลงเงินออมเป็นเงินก้อนที่นำไปใช้ประโยชน์ได้
กลไลนอกระบบ วงแชร์และกลุ่มออมทรัพย์
วงแชร์ คือการนำเงินออมมาแบ่งกันและหมุนเวียนเท่าๆกันระหว่างสมาชิก เช่น
วงแชร์ของแมรรีผู่เล่น (กลุ่มสมาชิกหลัก) 15คน แต่ละคนฝากเงินเข้าวงแชร์ทุกวันวันละ 100ชิลลิง ยอกรวมรายวัน (1500 ชิลลิง) จะถูกจ่ายทั้งก้อนให้สมาชิกทีละคนสลับกัน
โดยวิธีที่บ้านเราใช้บ่อยนั้นคือ เปียแชร์ (ประมูล)สมมุติว่า วงแชร์มี12คน พบกันทุกเดือน สมาชิกแต่ละคนส่งเงินคนละ300 บาท (ดังนั้นจึงมี12รอบ และ 1วัฏจักร นาน 12เดือน)
แต่ละรอบจะมีเงินก้อนให้ใช้ 360บาท รอบแรกคนที่ร้อนเงินจะประมูล(เปีย) เงินก้อนนี้ สมมุติว่ามีหลายคนอยากได้เงินและร่วมประมูล
คนที่อยากได้มากที่สุดเสนอดอกเบี้ย 720บาท และชนะประมูลไป เธอจะได้เงิน 2880บาท(3600 ลบด้วย 720) ขณะเดียวกันเงินประมูลของเธอ 720บาท ของเธอก็จะถูกกระจายอย่างเท่าเทียมให้สมาชิกทั้ง12คน
แต่ละคนจะได้เงินไปคนละ 60บาท (เท่ากัยว่าแต่ละคนต้องส่งเพียงคนละ240 แทน 300 ในเดือนนั้น) คนที่ไม่ประมูลเลยหรือประมูลท้ายๆ(เพราะไม่ต้องแข่งประมูลดอกเบี้ยกับคนจำนวนมาก) ก็จะได้ดอกเบี้ยจากการส่งที่น้อยลง เช่น
ส่ง 3000 แต่ได้ 3600 (เพราะ 600 คือดอกเบี้ยที่คนร้อนเงินประมูลจ่ายไปก่อนหน้านี้แล้ว)
กลุ่มออมทรัพย์
คือ การนำเงินออมมาแบ่งกันและสามารถปล่อยกู้แก่สมาชิกโดยไม่ต้องเท่ากัน
กลุ่มออมทรัพย์แบบจำกัดระยะเวลา
เช่น สมาชิกตกลงกันว่าจะยึดมาตรฐานและวินับขั้นสูง โดยทุกคนมาออมในวันเดียวกันทุกสัปดาห์ และทุกคนจะออม 10 ทากา ประธานกลุ่มคิดอะไรๆเป็นหน่วย 10ทากา เพื่อการลงบัญชี 10ทากานี้เก่ากับ หุ้น อายุของกลุุ่มถูกกำหนดให้เป็น 52สัปดาห์(จำกัดระยะเวลา) เงินกู้ทุกก้อนคิดอัตราดอกเบี้ยแบบเดียวกัน ไม่อนุญาตให้ปล่อยกู้ให้คนนอก และเงินกู้ทุกก้อนต้องถูกชำระหนี้ครบถ้วนตอนสิ้นปี
กลุ่มออมทรัพย์แบบไม่จำกัดระยะเวลา
กลุ่มออมทรัพท์ที่มีเป้าหมายการออมเพื่อเป้าหมาย ระยะยาว
ประโยชน์สูงสุดคือช่วยให้คนสะสมเงินออมระยะยาวได้ เช่น
การออมระยะยาวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวัยชรา ออมเงินให้ทายาท เตรียมสินสอดแต่งงาน
กลุ่มออมทรัพย์แบบลงทุนเริ่มต้น
สมาชิกทุกลงทุนครั้งแรกเพียงครั้งเดียวในจำนวนไม่มาก เงินทุนจากการลงทุนเริ่มต้นถูกนำไปปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยสูงลิบ (ร้อยละ10 หรือกระทั่งร้อยละ 15ต่อเดือน)ให้สมาชิกที่ร้อนเงินที่สุด ระหว่างที่ผู้กู้คนแรกและคนต่อๆไปชำระคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย เงินทุนก็เติบโตอย่างรวดเร็ว คนที่ออกทุนเริ่มต้นแต่ไม่กู้ก็จะมองดูเงินลงทุนของตัวเองเติบโตอย่างรวดเร็ว
เครดิตยูเนียนในฐานะกลุ่มออมทรัพย์ถาวร
เครดิตยูเนียน หรือ สหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิต เพื่อที่กลุ่มออมทรัพท์จะดำเนินการไปในระยะยาว หรือแม้แต่อยู่ถาวร(ซึ่งก่อนหน้านี้จะมีแค่วัฏจักร หรือ ระยะยาวเท่านั้น) จะต้องเชื่อมโยงกับองค์กรที่เหนือกว่า
พันธมิตรใหม่
เริ่มจากองค์กรพัฒนาเอกชนที่หวังว่าบริการทางการเงินจะเป็นพาหนะสู่การพัฒนาทางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจ บางองค์กรช่วยให้คนจนจัดตั้งชมรมออม บริการเหล่านี้บางกลไกเข้าถึงคนจนได้หลายล้านคน
ในที่นี้ขอพูดถึง ไมโครไฟแนนซ์ (ให้บริการทางด้านการเงินขั้นพื้นฐานทั่วไปสำหรับคนจน เช่น การฝากเงิน การกู้เงิน การจ่ายเงิน การโอนเงิน )
บางครั้ง ไมโครไฟแนนซ์ ถูกเรียกรวมๆว่า การเงิน กึ่งนอกระบบ เช่น
ธนาคารหมู่บ้าน ที่มีสมาชิก30คน สมมุติว่าได้รับเงินกู้จาก เอ็นจีโอ 45000บาท ยอดนี้ถูกแบ่งสันปันส่วนให้สมาชิกทันที ทุกคนจะได้เงินกู้คนละ 1500บาท สมาชิกทยอยชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยให้ธนาคารหมู่บ้าน ทุกสัปดาห์ติดกัน 16 สัปดาห์ พอครบ 16สัปดาห์ ธนาคารก็จะนำเงินกู้ทั้งก้อนพร้อมดอกเบี้ยไปคืนให้ เอ็นจีโอ
ความสำเร็จที่ยั่งยืนที่สุดของขบวนการไมโครไฟแนนซ์อยู่คที่การคิดค้นผลิตภัณฑ์และระบบซึ่ง ตอบสนองต่อความต้องการบริการ ตัวกลางฐานรากด้านการเงินส่วนบุคคล ของคนจน
ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะแก่ศัพยภาพของคนจนและความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน
→ ให้คนสามารถออม (หรือชำระคืน) ในจำนวนน้อยๆ ด้วยมูลค่าที่ไม่คงที่ ถี่เท่าที่ทำได้
→ ให้เข้าถึงเงินก้อน (ผ่านการถอนเงินฝาก หรือเงินกู้ หรือเบี้ยประกัน) ในเวลาที่ต้องการ
ระยะสั้น สำหรับ การบริโภคและเหตุฉุกเฉิน
ระยะกลาง สำหรับ การลงทุนและเหตุการณ์ตามวงจรชีวิตบางอย่าง
ระยะยาว สำหรับเหตุการณ์ ชีวิตอื่นๆและความต้องการประกัน เช่น การแต่งงาน การรักษาสุขภาพ การศึกษา และชีวิตวัยเกษียณ
→ ยิ่งอ่านก็ ยิ่งนึกถึง บริษัทที่ให้บริการด้านไมโครไฟแนนซ์ อย่าง เงินติดล้อ ที่มีผลิตภัณฆ์อย่าง สินเชื่อทะเบียนรถมอเตอร์ไซต์ (แปลงสินทรัพท์เป็นเงินก้อน)เลยครับ
→ ไม่ต้องมีเอกสารและต้นทุนธุรกรรมอื่นๆมากมาย โปร่งใสให้คนไม่รู้หนังสือได้ เป็นต้น
สรุปอีกครั้ง
→ ปัญหาของคนจน คือ มีเงินใช้จ่ายไม่เพียงพอ ต้องหาวิธีแปลงเงินออมให้เป็นเงินก้อน เพื่อนำมาใช้ง่ายในชีวิตประจำวัน ( รวมถึง เหตุการณ์ตาม “วงจรชีวิต” เหตุการฉุกเฉิน และ โอกาสการลงทุน)
→ ไม่มีโอกาสเข้าถึงบริการธนาคาร ทำให้ต้องใช้บริการการเงินนอกระบบ (บริการนักรวบรวมเงินฝาก เงินกู้จากนายทุน วงแชร์ เป็นต้น)
→ ไมโครไฟแนนซ์ มีส่วนช่วยในการบรรเทาความยากจนผลิตภัณฑ์ที่เหมาะแก่ศัพยภาพของคนจน คือ เข้าถึงเงินการในเวลาที่ต้องการ และไม่ยุ่งยาก
สุดท้าย
เป็นยังไงกันบ้างครับ กับ การเงินคนจน หนังสือเล่มนี้ช่วยให้ผมเข้าใจวิธีคิดของคนจนมากขึ้น เช่น ทำไมถึงต้องกู้เงิน หรือเล่นแชร์ ซึ่งทำให้ผมเห็นภาพกว้างขึ้นว่า ระหว่างคนรวยกับคนจน โอกาสที่เข้าถึงพวกเขามันต่างกันขนาดไหน และจะทำยังไงเพื่อย่นความแตกต่างนั้น
แล้วคุณล่ะ อ่านแล้วได้ประโยชน์อะไรจากหนังสือเล่มนี้บ้าง
ในหนังสือยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่ผมไม่ได้นำมาเขียน สนใจเชิญซื้อมาอ่านได้เลยครับ
สนใจ → การเงินคนจน