หนังสือ ชีวิตติดปีกด้วยศิลปะแห่งการช่างแม่ง (The Subtle Art of Not Giving a F*ck ) ตอบโจทย์คำถามเหล่านี้
→ ฉันอยากมีความสุข
→ ทำยังไงให้มีความสุข
สวัสดีครับ ผมจี้ บทความนี้จะมาสรุปหนังสือ “ชีวิตติดปีกด้วยศิลปะแห่งการช่างแม่ง” โดย Mark manson นักเขียนและบล็อกเกอร์แนว จิตวิทยา พัฒนาตัวเอง ที่มีผู้ติดตามกว่า2ล้านคน
โดยสรุปประเด็นสำคัญของหนังสือมีดังนี้
→ ไม่ใช่ว่าไม่แคร์อะไรเลย แต่เลือกที่จะแค่บางอย่างที่สำคัญ
→ อะไรที่มากไป ส่งผลทำให้สุขภาพจิตแย่ลง
→ การยอมรับความทุกข์เป็นเส้นทางไปสู่ความสุข
→ ความสุขคือการแก้ปัญหา
→ การลงมือทำ นำไปสู่แรงบันดาลใจ
1.อย่าพยายาม
โลกพยายามบอกคุณให้แคร์สิ่งต่างๆมากขึ้น เช่น ซื้อมากขึ้น มีมากขึ้น เป็นอย่างที่อยากเป็นให้มากขึ้น
สิ่งเหล่านี้ถูกมองว่าคือชีวิตที่ดี
ปัญหาคือ อะไรที่คุณแคร์มากเกินไป ส่งผลต่อสุขภาพจิตของคุณ
เส้นทางสู่ชีวิตที่ดีคือ การแคร์อะไรให้อะไรให้น้อยลง แต่เลือกสิ่งที่สำคัญแทนที่แคร์หลายๆเรื่องมากขึ้น
ความปราถนาที่จะมีความสุขมากขึ้นนั้นเองที่เป็นสาเหตุของความทุกข์ กลับกัน การยอมรับความทุกข์นั้นเองที่ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น
สิ่งนี้เรียกว่ากฎแห่งการย้อนกลับ
ความทุกข์เป็นเส้นทางไปสู่ความสุข
การไม่แคร์อะไรเลย ไม่ได้หมายถึงการเมินเฉย แต่หมายถึงความสบายใจที่จะแตกต่าง
ถ้าคุณไม่แคร์อะไรเลย นั้นแปลว่าคุณกำลังแคร์กับ “การไม่แคร์อะไรเลย”
คำถามคือ คุณจะแคร์อะไรต่างหาก
เพื่อจะไม่ไปแคร์เรื่องความทุกข์ คุณต้องแคร์สิ่งที่สำคัญกว่าความทุกข์
เช่น ถ้าคุณกังวลว่าคนอื่นจะมองคุณยังไง
ปัญหาไม่ใช่คนอื่นจะมองคุณยังไง แต่คือ คุณไม่มีอะไรสำคัญกว่านี้ให้กังวล
ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ คุณกำลัวเลือกสิ่งที่คุณจะแคร์
2.ความสุขคือปัญหา
ตลอดอดีตที่ผ่านมา สัตว์ที่มีความสุขตลอดเวลา จะอยู่รอดได้ยาก
ขณะเดียวกัน สัตว์ที่มีความโกรธ กังวล จะมีโอกาสรอด
→ ลองนึกถึงกวางที่อยู่ในทุ่งหญ้า ถ้ามันไม่กังวล ระแวงว่า เสือจะมาหามันไหม มันคงรอดได้ยากสินะครับ
ความรู้สึกด้านลบมรจุดประสงค์ในตัวของมัน นั้นคือ ช่วยให้เราอยู่รอด
ความสุขเกิดจากการแก้ปัญหา
ปัญหาไม่มีวันหมด ดังนั้นเพื่อที่จะมีความสุข ก็ต้องแก้ปัญหานั้น
ความสุขคือรูปแบบหนึ่งของการลงมือทำ(แก้ปัญหา) ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยไม่ทำอะไร
เลือกปัญหาที่คุณจะต่อสู้
เมื่อถามว่า คุณต้องการอะไรในชีวิต หลายคนอยากมีความสุข ฉันต้องการรางวัล ไม่ต้องดิ้นรน
แต่ชีวิตกลับไม่เป็นอย่างนั้น
คำถามที่น่าสนใจที่คนส่วนมากไม่ค่อยได้คิดถึงคือ คุณต้องการจะดิ้นรนกับอะไร
เพราะว่า ความสุขเกิดจากการดิ้นรนและแก้ปัญหา
เช่น ศิลปินที่สนุกกับความเครียดหรือความไม่แน่นอนของชีวิตศิลปิน คือคนที่หากินกับมันได้
นึกถึงการออกกำลังกายดูครับ ระหว่างออกกำลังกายเราก็จะรู้สึกเหนื่อย (ต้องดิ้นรน) แต่เมื่อเราออกเสร็จแล้ว ความรู้สึกดีก็จะเกิดขึ้น
3.คุณไม่ได้พิเศษอะไร
ความรู้สึกที่ว่าตนมีสิทธิพิเศษ 2 แบบ
1.ฉันเจ๋งและคนอื่นห่วย ดังนั้นฉันต้องได้รับการปฏิบัติอย่างคนพิเศษ
2.ฉันห่วยและคนอื่นเจ๋ง ดังนั้นฉันต้องได้การปฏิบัติอย่างคนพิเศษ
คนเหล่านี้คิดว่า โลกต้องเอาใจพวกเขา
สื่อออนไลน์ หลายๆอย่างมีส่วนทำให้คุณรู้สึกว่าคุณพิเศษที่สุดในโลก แต่นั้นทำให้สุขภาพจิตแย่ลง
มันสร้างภาพลวงตาให้กับคุณ
ทุกคนสามารถเป็นคนพิเศษและทำสิ่งที่พิเศษได้ โดยการทิ้งอีโก้ ยอมรับความจริงที่ว่า การกระทำของคุณ ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นในภาพกว้าง และเมื่อคุณยอมรับได้ ความเครียกและวิตกกังวลก็จะหายไป
4.คุณค่าของความทุกข์
อะไรมีค่าที่คุณควรจะพยายามเพื่อมัน? ไม่ว่าคุณจะเก่ง มีความมุมานะขนาดไหน ถ้าคุณมีเป้าหมายที่ผิด ก็จบ
เช่น ทหารญี่ปุ่นที่ใช้เวลา27ปีสู้รบอยู่ในป่าคนเดียว ทั้งๆที่สงครามจบไปแล้ว
นี้คือวิธีดูว่าสิ่งไหนมีคุณค่า
คุณค่าที่ดี | คุณค่าที่ไม่ดี |
อยู่บนหลักความเป็นจริง | เหนือธรรมชาติ |
สร้างสรรค์เชิงสังคม | บ่อนทำลายเชิงสังคม |
ควบคุมได้ | ควบคุมไม่ได้ |
เช่น
ความซื่อสัตย์ (คุณค่าที่ดี )
→ ควบคุมได้(ตัวคุณควบคุมเองได้)
→ สะท้อนความเป็นจริง
→ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
ความนิยมชมชอบ (คุณค่าที่ไม่ดี)
→ ควบคุมไม่ได้
→ ไม่สะท้อนความเป็นจริง (คุณอาจรู้สึกเป็นที่นิยมหรือไม่ก็ได้ แต่คุณก็คงไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับคุณ)
5.คุณเลือกอยู่ตลอดเวลา
เมื่อคุณเป็นคนเลือกปัญหาที่จะแก้ด้วยตัวคุณเอง สิ่งนั้นจะยิ่งง่ายกับเรามากขึ้น
คุณจะเจ็บปวดก็ต่อเมื่อปัฐหาเข้ามาหาคุณและคุณควบคุมมันไม่ได้
ไม่ว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ คุณเลือกอยู่ตลอดเวลา
ความรับผิดชอบกับความผิด
เรามักคิดว่า ถ้าเราทำอะไรผิดเท่านั้น เราจึงต้องรับผิดชอบ
แต่ในความเป็นจริง ถ้าคุณเป็นมะเร็ง (ซึ่งไม่ใช่ความผิดของคุณ) คุณก็ยังต้องรับผิดชอบตัวคุณเอง
→ เรื่องนี้จริงๆเอาไปใช้ได้หลายเรื่องจริงๆ เช่น ถ้ามีใครบางคนเอาเด็กมาวางไว้หน้าบ้านเรา(ซึ่งไม่ใช่ความผิดของเรา) เราก็ต้องรับผิดชอบในการแจ้งเรื่อง ดูแลเด็กระหว่างนั้น(รับผิดชอบ)
ถ้าเราตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
1.เราจะลงมือทำอะไรบางอย่าง โดยไม่สนใจว่าความผิดใคร
6.คุณคิดผิดทุกอย่าง
นึกภาพความเชื่อของคนสมัยก่อนที่ถูกพิสูทธ์แล้วว่าผิดในปัจจุบัน เช่น โลกกลม ไม่ใช่แบน
ทีนี้ลองจินตการว่าสิ่งที่คุณเชื่อในตอนนี้ถูกพิสูทธ์ว่าผิดในอนาคต
เข้าใจความไม่แน่นอนให้มากขึ้น จะทำให้เราเขียนรู้ได้มากขึ้น
คำถามที่จะช่วยให้คุณ เข้าใจความไม่แน่นอนมากขึ้น
1.ถ้าฉันคิดผิดล่ะ
2.ถ้าฉันผิด มันหมายความว่ายังไง
3.การที่ฉันผิด จะทำให้ปัญหาปัจจุบันของฉันดีขึ้นหรือแย่ลง ทั้งกับตัวเองและคนอื่น
7. ความล้มเหลมคือหนทางไปข้างหน้า
ความล้มเหลวคือ องค์ประกอบของความสำเร็จ
คนส่วนใหญ่คิดว่า แรงบันดาลใจนำไปสู่การลงมือทำ
แต่ผู้เขียนเสนอไว้ว่า การลงมือทำ → แรงบันดาลใจ
8.ความสำคัญของการพูดว่า “ไม่”
การพูด “ไม่” กับคนอื่นเป็นหนทางสู่การทำสิ่งที่สำคัญ
ในการจะให้คุณค่าอะไรบางอย่างคุณต้องปฏิเสธสิ่งบางอย่าง
→ เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง คำพูดของ สตีฟ จอปน์ ที่ว่า การโฟกัส คือ การพูดว่า”ไม่”(focus is about saying no) ไอเดียนั้นมีอยู่มาก แต่การที่จะโฟกัสและทำไอเดียหนึ่งให้ออกมาดี ต้องกล้าพูด”ไม่”กับไอเดียอื่นๆนั้นเอง
9.แล้วคุณก็ตาย
เมื่อคุณเข้าใกล้ความตาย สิ่งที่คุณควรแคร์จะปรากฏอย่างชัดเจน (ถ้าฉันตายพรุ่งนี้ ฉันจะเสียใจอะไรไหม ฉันเสียเวลากับอะไร)
ผู้เขียนเล่าถึงตอนเขาไปหน้าผ่า cape of good hope ที่ แอฟริกาใต้และชโงกหัวมองลงไป ช่วงเวลานั้น เหมือนช่วงเวลาที่เขาเข้าใกล้ความตาย ทำให้เกิดความคิดอย่างชัดเจนว่า ที่ผ่านเขาให้คุณค่ากับอะไรกันแน่
สรุปอีกครั้ง
→ ไม่ใช่ว่าไม่แคร์อะไรเลย แต่เลือกที่จะแค่บางอย่างที่สำคัญ
→ อะไรที่มากไป ส่งผลทำให้สุขภาพจิตแย่ลง
→ การยอมรับความทุกข์เป็นเส้นทางไปสู่ความสุข
→ ความสุขคือการแก้ปัญหา
→ การลงมือทำ นำไปสู่แรงบันดาลใจ
สุดท้าย
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับ ชีวิตติดปีกด้วยศิลปะแห่งการช่างแม่ง ในมุมมองของผม หนังสือทั่วไปจะสอนให้เราค้นหาความสุข ลดความทุกข์ แต่หนังสือเล่มนี้กับเสนอมุมมองที่ต่างออกไปคือ การยอมรับความทุกข์เพื่อจะมีความสุข
ซึ่งเป็นไอเดียใหม่ที่น่าสนใจจริงๆ ยิ่งสำหรับคนที่ชอบแนวจิตวิทยา พัฒนาตัวเองแล้วควรอ่านเพิ่มจริงๆครับ